คนท้องต้องรู้ : ปวดท้องขณะตั้งครรภ์แบบไหน “อันตราย”

สำหรับอาการปวดท้องที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะแท้งบุตร ซึ่งถือว่าเข้าสู่ภาวะอันตราย มักจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • มีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน จนถึงขั้นหมดสติ
  • มีอาการเลือดไหลออกมาบริเวณช่องคลอด
  • มีตัวอ่อนหลุดออกมา ภายหลังจากปวดท้องอย่างหนัก
  • ปวดท้องติดกันหลายวัน ทานยาพาราเข้าไปแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น

หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะหากทิ้งไว้นาน อาจเป็นอันตรายทั้งต่อทารในครรภ์และตัวคุณแม่เองได้

อาการปวดท้องที่อาจนำไปสู่การ แท้งลูก ได้ มีดังนี้

1. ปวดท้องเนื่องจากอาการติดเชื้อ
อาการปวดท้องที่เกิดขึ้น อาจไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์ แต่เกิดจากการติดเชื้อจากกระเพาะอาหาร ปวดไส้ติ่ง หรืออาหารเป็นพิษได้ ซึ่งจะมีอาการอาเจียน และอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน

2. อาการปวดท้อง เนื่องจากการ ตั้งครรภ์นอกมดลูก
การตั้งครรภ์นอกมดลูก เกิดจากความผิดปกติของท่อนำไข่ ที่ไม่สามารถนำไข่ไปฝังตัว ยังจุดที่เหมาะสมในมดลูกได้ ตัวอ่อนจึงฝังตัวบริเวณท่อนำไข่ (ปีกมดลูก) ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกได้ และทำให้เกิดอาการปวดท้อง หากไม่ได้รับการรักษา เนื้อเยื่อจะเจริญเติบโต สร้างความเสียหายแก่ท่อนำไข่ และเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้

โดยสัญญาณสำคัญของการท้องนอกมดลูก ที่มีอาการป่วยรุนแรง และควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ทันที ได้แก่
• ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
• มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดจำนวนมาก
• ปวดไหล่ ปวดคอ ปวดบริเวณทวารหนัก
• หน้ามืดเป็นลม วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
• มีภาวะช็อก

สัญญาณเตือนภัย ที่คุณแม่สามารถสังเกตุได้เองขณะตั้งครรภ์ที่พบได้บ่อยคือ

1. ลูกดิ้นน้อยลง

โดยปกติแล้ว คนท้องควรสังเกตการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์อยู่ตลอด เด็กบางคนก็ดิ้นมากในเวลากลางคืน ในขณะที่เด็กบางคนก็จะเริ่มขยับตัวมากในช่วงเช้า ถ้าลูกน้อยของคุณแม่ดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้นเลย คุณแม่ท้องควรไปโรงพยาบาลทันที เพราะเคยมีบางกรณี ที่เด็กเสียชีวิตก่อนคลอดเพียงไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งวิธีเดียวที่จะรู้ได้ก็คือการสังเกตการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ หรือการนับลูกดิ้น ปกติลูกในท้อง จะต้องดิ้นมากกว่า 10 ครั้ง/วัน ซึ่งการดิ้นของลูก บ่งบอกว่า ลูกยังมีชีวิตอยู่ หรือมีสุขภาพที่แข็งแรง โดยลูกจะดิ้นมากหลังจากที่คุณแม่กินอาหารเสร็จใหม่ๆ
การนับลูกดิ้นนั้น นับตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ขึ้นไป ควรนับ 3 เวลา หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น โดยมีวิธีการนับลูกดิ้น คือ ลูกดิ้นในเวลาเดียวกัน ให้นับเป็น 1 ครั้ง เช่น ตุ๊บ ตุ๊บ พัก ให้นับเป็น 1 ครั้ง หรือ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ก็ให้นับเป็น 1 เช่นกัน การนับให้นับหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ถ้านับแล้วไม่ถึง 3 ครั้ง ให้นับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง และถ้ายังไม่ถึง 3 ครั้งอีก ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูความผิดปกติของทารกในครรภ์ต่อไป

2. มีเลือดออกทางช่องคลอด

สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ รกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งปกติ รกจะรอกตัวออกจากผนังมดลูกหลังจากเด็กคลอดออกมาแล้ว แต่ถ้ารกลอกตัวก่อนตัวเด็กจะคลอด เนื่องจากครรภ์เป็นพิษ หรือถูกกระแทกบริเวณท้องอย่างรุนแรง จะทำให้มีเลือดไหลออกในโพรงมดลูก อาจทำให้เด็กในครรภ์ขาดออกซิเจนไปเลี้ยง จนเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากมีเลือดออกทางช่องคลอด ปวดหน้าท้อง หน้าท้องแข็งตึง หรือกดแล้วเจ็บ มดลูกโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีเลือดขังอยู่ภายใน ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ส่วนอีกสาเหตุหนึ่ง คือ รกเกาะต่ำ เป็นภาวะที่รกบางส่วน หรือทั้งหมด เกาะอยู่ที่ตอนล่างของมดลูก แทนที่จะเกาะที่ผนังตอนบนของมดลูก โดยอาการที่จะต้องรีบไปพบแพทย์นั้น คือ จะมีเลือดออกทางช่องคลอดเหมือนกัน แต่จะไม่เจ็บครรภ์ ซึ่งถ้าเลือดออกมาก แพทย์จะต้องเอาเด็กและรกออกให้เร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้เลือดหยุดไหล

3. น้ำเดิน

น้ำเดิน คือ การที่มีน้ำใสๆ คล้ายน้ำปัสสาวะ (แต่ไม่ใช่น้ำปัสสาวะ) ไหลออกมาทางช่องคลอด นั่นแสดงว่า ถุงน้ำคร่ำแตกรั่ว ซึ่งจะไม่เป็นมูก หรือว่าตกขาว ดังนั้น เมื่อมีอาการน้ำเดิน คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะถ้าหากทิ้งไว้ เชื้อโรคอาจลุกลามเข้าไปในโพรงมดลูกจนเกิดการติดเชื้อ ส่งผลให้แม่ และลูกอาจเสียชีวิตได้

ให้คุณแม่สังเกตุ หากมีน้ำคร่ำไหลออกมาเล็กน้อย ตามหน้าขา ให้คุณแม่ใส่ผ้าอนามัย สังเกต 2-3 ชั่วโมง และไม่ควรเดินมาก ซึ่งถ้าน้ำคร่ำยังไม่หยุดไหล ให้รีบไปพบแพทย์ ไม่ต้องรอให้เจ็บครรภ์นะคะ

4. บวม–ความดันโลหิตสูง

อาการบวม เกิดจากโรคพิษแห่งครรภ์ จะพบในคุณแม่ที่มีประวัติคนในครอบครัวมีความดันโลหิตสูง คุณแม่ที่เป็นเบาหวาน และคุณแม่ที่มีครรภ์แฝด สำหรับอาการที่ควรรีบไปพบแพทย์ คุณแม่จะมีอาการบวม ตั้งแต่หลังเท้า มือบวม นิ้วบวม ปวดหัว และสายตาพร่ามัว โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะบริเวณหน้าผากและท้ายทอย บางรายอาจมีอาการบวมบริเวณใบหน้าหรือแขนขาร่วมด้วย หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาทันและช่วยลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้

5. ปวดท้อง-ท้องแข็งตึง

อาการปวดท้องในที่นี้ คือ การปวดบริเวณท้องน้อย มดลูก หรือหัวหน่าว ส่วนท้องแข็งตึงนั้น คือ การที่มดลูกบีบรัดตัวแข็งเป็นก้อนกลม ซึ่งหากทิ้งไว้นาน จะทำให้ปากมดลูกเปิด เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย คือ การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนั้นคุณแม่จึงไม่ควรกลั้นปัสสาวะ

นอกจากนี้ อาการปวดท้อง หรือท้องแข็งตึงนั้น ยังเกิดจากการร่วมเพศอย่างรุนแรง ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เป็นผลทำให้มดลูกหดรัด และอาจแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนดได้ อย่างไรก็ดี ในคุณแม่ตั้งครรภ์ปกติ อาจมีอาการท้องแข็งตึงได้บ้าง เช่น เวลาพลิกตัว หรือลูกดิ้น แต่หากรู้สึกว่าท้องแข็งบ่อยกว่าปกติ ควรนอนพักผ่อนให้มากๆ และถ้าหากนอนพักแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น มีอาการท้องแข็งตึงทุกครึ่งชั่วโมงติดๆ กัน เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง ควรให้รีบไปพบแพทย์ทันที โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการขึ้นพร้อมๆ กัน เพราะจะเป็นสาเหตุให้ทารกคลอดก่อนกำหนดได้

สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เดินเยอะ ยืนนาน หรือมีอาการปวดตัว ปวดหลัง ปวดหน่วง บริเวณท้อง ต้องกุมท้องช่วยพยุงตลอดเวลา ทาง Mama Beyond มีตัวช่วยมาแนะนำ Mama Beyond เข็มขัดพยุงครรภ์ นวัตกรรมจากสหรัฐอเมริกา ช่วยให้หายปวดหลังขณะตั้งครรภ์ เบาสบาย เดินได้คล่องขึ้น สนใจสั่งซื้อ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mamabeyond.com/