ปัญหาที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนต้องเจอ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุครรภ์มากขึ้น นั่นคือ อาการปวดหลัง ซึ่งอาการปวดหลังของแม่ตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากการปวดรุนแรง จนทนไม่ไหว ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาด เพราะอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ ได้!!
คุณแม่ตั้งครรภ์กับอาการปวดหลัง
ปัญหาที่พบบ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ มักหนีไม่พ้นอาการปวดหลัง โดยเฉพาะเมื่อมีอายุครรภ์มากขึ้น อาการปวดหลังจะมีมากหรือน้อยแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล ซึ่งบางครั้งอาจปวดหลังจนกระทั่งหลังคลอดแล้วนานเป็นเดือนหรือหลายเดือนเลยทีเดียว เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลฮอร์โมนและฟื้นฟูให้กระดูกสันหลังที่เคยแอ่นระหว่างการตั้งครรภ์กลับเข้าที่
สาเหตุคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการปวดหลัง
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นและการถ่วงของครรภ์ที่อยู่ด้านหน้าส่งผลให้กระดูกสันหลังแอ่นเป็นเวลานาน หลังต้องแบกรับน้ำหนักตัวมากขึ้นจนทำให้คุณแม่มีอาการปวดหลัง
ฮอร์โมนเปลี่ยน หญิงตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนรีแลกซิน (Relaxin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ ขณะตั้งครรภ์ ช่วยกระตุ้นการคลายตัวเอ็นยึดกระดูกเชิงกราน ให้คลอดง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งส่งผลให้มีอาการปวดหลังได้ รวมถึงเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือนเป็นต้นไป ทารกจะดึงแคลเซียมจากกระแสเลือดคุณแม่ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เป็นเหตุให้เกิดการกร่อนของกระดูก นำมาซึ่งอาการปวดหลังในที่สุด
กล้ามเนื้อส่วนกลางของลำตัวแยกตัว เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ทารกมีการเจริญเติบโต มดลูกขยายใหญ่ขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อตรงส่วนกลางของลำตัวเกิดการแยกตัว ทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา
การทรงตัวและท่าทางต่างๆ คุณแม่ที่มีหน้าท้องใหญ่มากขึ้น มักเดินตัวแอ่นไปข้างหลังเพื่อพยุงตัว แต่หารู้ไม่ว่าการแอ่นตัวรวมถึงการนั่งหรือก้มหยิบสิ่งของไม่ถูกวิธี ก็เป็นสาเหตุให้คุณแม่ปวดหลัง
ความเครียดขณะตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มีความกังวลและความเครียดซ่อนอยู่ ทำให้กล้ามเนื้อต่างๆในร่างกายเกิดการตึงตัว มีผลต่ออาการปวดหลังได้ด้วยเช่นกัน
การลดอาการปวดหลังของแม่ตั้งครรภ์
- คุมน้ำหนักตัวให้ขึ้นตามเกณฑ์ที่แพทย์กำหนดไว้ ควรคุมไม่ให้ครรภ์ใหญ่เกินไปจนเกิดการถ่วงจนกระดูกสันหลังแอ่น
- เลือกที่นอนที่ไม่อ่อนยวบจนเกินไป โดยเฉพาะที่นอนที่ยุบไปตามน้ำหนักตัว จะทำให้คุณแม่ปวดหลังมากยิ่งขึ้น
- เปลี่ยนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง โดยงอเข่าและวางขาลงบนหมอนข้างที่มีความแข็งและหนา พอให้ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนหมอนข้างกำลังพอดี ช่วยให้น้ำหนักตัวและครรภ์ถูกถ่ายลงไปยังหมอนข้าง ลดภาระการทำงานของกล้ามเนื้อหลังได้มากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป ตามหลักการแพทย์แล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ควรใส่รองเท้าที่มีส้นไม่เกิน 1 – 2 นิ้ว เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในช่วงกลางลำตัวและมีความสมดุล
- หากมีความจำเป็นต้องยกของหนักหรืออุ้มเด็ก คุณแม่ตั้งครรภ์ควรฝึกให้ถูกวิธี โดยยืน แยกเท้าออกเท่าช่วงสะโพก ให้ปลายเท้าเฉียงออกเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ งอเข่า หย่อนตัวลงตรงๆ พยายามให้น้ำหนักตัวอยู่ตรงกลางและบริเวณสะโพก ใช้กำลังจากแขนและไหล่ยกของ สุดท้ายจึงใช้ขาพยุงตัวขึ้น โดยไม่ใช้แรงหลังเด็ดขาด แต่ถ้ามีอาการปวดหลังหรือไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรยกของหนักหรืออุ้มเด็กจากพื้น
- หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ และการยืนบนพื้นแข็งๆ โดยควรหาผ้าหรือพรมเช็ดเท้ามารองพื้น และมีเก้าอี้เตี้ยๆ รองขาข้างหนึ่งไว้
- ฝึกท่านั่งให้ถูกต้อง หลังตรง เอน พิงพนักเก้าอี้เล็กน้อยและควรมีเก้าอี้เตี้ยๆ รองรับเท้า ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลังและเบาะนั่งที่ไม่นุ่มเกินไป และไม่ควรนั่งไขว่ห้าง รวมถึงไม่ควรนั่งนาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
- ทาครีมแก้ปวด สามารถบรรเทาอาการได้บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเพียงการช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น ไม่ใช่รักษาอาการปวดให้หายเด็ดขาด
- อาการปวดหลังของคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจเป็นเรื่องที่สามารถทนได้ แต่หากมีอาการปวดรุนแรง จนทนไม่ไหว ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาด แต่ควรปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ เพราะยาบางประเภทอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ รวมถึงหากมีอาการปวดร้าวไปถึงก้น ปวดร้าวลงขาอย่างรุนแรง ปวดไปถึงน่อง นิ้วมือ นิ้วเท้า หรือมีอาการเหมือนกล้ามเนื้ออ่อนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
คนท้องนอนท่าไหน ไม่ให้ปวดหลังและปวดเอว
หากจะถามว่า คนท้องนอนท่าไหน ถึงจะเหมาะสมที่สุด สำหรับคำตอบเรื่องท่านอนที่คุณแม่ท้องมักจะได้รับคำแนะนำว่าเหมาะสมที่สุดในระหว่างตั้งครรภ์คือ ท่านอนตะแคงซ้าย เพราะการนอนตะแคงซ้ายช่วยให้การไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี มดลูกกดทับหลอดเลือดในช่องท้องน้อยกว่าการนอนในท่าอื่นๆ เมื่อการไหลเวียนเลือดดี ก็สามารถส่งอาหารได้ยังทารกได้ดีตามไปด้วย นอกจากนี้ การที่ระบบไหลเวียนเลือดดียังช่วยให้ไตขับน้ำปัสสาวะได้ดี ช่วยลดอาการบวมในแม่ท้องได้อีกด้วย
ในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์นั้น แม่ท้องยังสามารถนอนหงายได้อยู่นะครับ แต่หลังจากนั้น การนอนหงายอาจส่งผลเสียต่อแม่ท้อง เพราะน้ำหนักจากมดลูกอาจจะไปกดทับหลอดเลือดแดงที่กำลังทำหน้าที่ลำเลียงเลือดเข้าไปสู่หัวใจ ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดี โดยนอกจากคุณแม่จะนอนตะแคงซ้ายแล้ว คุณแม่ยังอาจจะเปลี่ยนมานอนตะแคงขวาบ้างสลับกันไปในช่วงนี้ก็ได้